ในปัจจุบัน สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM (International Federation of Organic Agricultural Movements) ถือเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับตรวจสอบรับรองเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ ผลผลิตที่ผ่านมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จะต้องมีขั้นตอนการผลิตดังนี้
- พื้นที่เพาะปลูกต้องไม่เคยมีการทำเกษตรเคมีมาไม่น้อยกว่า 3 ปี
- ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี และ เน้นการใช้สารอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เป็นต้น
- ไม่ใช้สารสังเคราะห์ป้องกันหรือกำจัด สัตว์และแมลงที่เป็นศัตรูพืช
- ไม่ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช
- ไม่ใช้ฮอร์โมนกระตุ้นความเจริญเติบโตของพืช
ทั้งนี้ จุดเด่นของกาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee ประกอบด้วย
- มีการกำหนดมาตรฐานและทำการตรวจสอบทั้งสภาพแวดล้อมและการบำรุงรักษาต้นกาแฟไม่ให้มีการ
ใช้สารเคมีทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะไม่มีสารเคมีปนเปื้อนหรือตกค้างมากับกาแฟ
- Organic Coffee จัดอยู่ในกลุ่มสินค้า Premium เนื่องจากผลผลิตที่ได้มีคุณภาพสูงแต่มีปริมาณน้อย
- Organic Coffee ได้การรับรองว่ามีรสชาติดีกว่ากาแฟที่ปลูกโดยใช้สารเคมี ขณะที่มีราคาขาย
ใกล้เคียงกัน หรือสูงกว่าเล็กน้อย
ด้านการเพาะปลูกและการดูแลรักษากาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee
- ต้องปลูกในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร
- ได้รับน้ำในปริมาณที่พอเพียงจากน้ำฝนที่ตกตามฤดูกาลเฉลี่ย 2,000 มิลลิเมตรต่อปี
รวมถึงการได้รับน้ำจากแม่น้ำ ลำธารตามธรรมชาติ
- อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีประมาณ 15-25 องศาเซลเซียส
- ปลูกโดยการเว้นระยะห่างระหว่างต้นที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ต้นกาแฟแต่ละต้นได้รับสารอาหารที่
เพียงพอต่อการให้ผลผลิตที่ดี ซึ่งจะจำกัดปริมาณไว้ที่ 400 ต้นต่อพื้นที่ 1 ไร่
- การดูแลรักษาจะไม่ใช้ปุ๋ยเคมีทุกชนิดแต่จะใช้ปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์
- หากเกิดโรคหรือถูกแมลงศัตรูพืชทำลายจะทำการตัดส่วนนั้นทิ้งแทนการฉีดสารเคมี
- พื้นที่เพาะปลูกต้องไม่เคยมีการทำเกษตรเคมีมาไม่น้อยกว่า 3 ปี
- ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี และ เน้นการใช้สารอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เป็นต้น
- ไม่ใช้สารสังเคราะห์ป้องกันหรือกำจัด สัตว์และแมลงที่เป็นศัตรูพืช
- ไม่ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช
- ไม่ใช้ฮอร์โมนกระตุ้นความเจริญเติบโตของพืช
ทั้งนี้ จุดเด่นของกาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee ประกอบด้วย
- มีการกำหนดมาตรฐานและทำการตรวจสอบทั้งสภาพแวดล้อมและการบำรุงรักษาต้นกาแฟไม่ให้มีการ
ใช้สารเคมีทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะไม่มีสารเคมีปนเปื้อนหรือตกค้างมากับกาแฟ
- Organic Coffee จัดอยู่ในกลุ่มสินค้า Premium เนื่องจากผลผลิตที่ได้มีคุณภาพสูงแต่มีปริมาณน้อย
- Organic Coffee ได้การรับรองว่ามีรสชาติดีกว่ากาแฟที่ปลูกโดยใช้สารเคมี ขณะที่มีราคาขาย
ใกล้เคียงกัน หรือสูงกว่าเล็กน้อย
ด้านการเพาะปลูกและการดูแลรักษากาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee
- ต้องปลูกในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร
- ได้รับน้ำในปริมาณที่พอเพียงจากน้ำฝนที่ตกตามฤดูกาลเฉลี่ย 2,000 มิลลิเมตรต่อปี
รวมถึงการได้รับน้ำจากแม่น้ำ ลำธารตามธรรมชาติ
- อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีประมาณ 15-25 องศาเซลเซียส
- ปลูกโดยการเว้นระยะห่างระหว่างต้นที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ต้นกาแฟแต่ละต้นได้รับสารอาหารที่
เพียงพอต่อการให้ผลผลิตที่ดี ซึ่งจะจำกัดปริมาณไว้ที่ 400 ต้นต่อพื้นที่ 1 ไร่
- การดูแลรักษาจะไม่ใช้ปุ๋ยเคมีทุกชนิดแต่จะใช้ปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์
- หากเกิดโรคหรือถูกแมลงศัตรูพืชทำลายจะทำการตัดส่วนนั้นทิ้งแทนการฉีดสารเคมี
ทายนิสัย จากกาแฟถ้วยโปรด :-
เก็บมาเล่า ให้อ่านกันเพลินๆ และคุณชอบกาแฟแบบไหน ?
แหล่งข้อมูล : จาก forward mail ของผองเพื่อน ต้องขออภัยไม่ทราบนามผู้เขียน และขอขอบคุณผู้เขียนบทความดังกล่าวไว้ ณ ที่นี้
พันธุ์กาแฟ :-
กาแฟในโลกสามารถแบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์หลักๆ
1.อาราบิก้า (Arabica) ได้ชื่อว่าเป็นพันธุ์กาแฟที่ดีที่สุด มีรสชาติกลมกล่อม หอม จึงเป็นที่นิยมบริโภคมากที่สุด สายพันธุ์อาราบิก้าเป็นกาแฟที่เติบโตได้ดีบนพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 700 เมตรขึ้นไป อายุการเก็บเกี่ยวตั้งแต่ติดผลถึงผลสุกประมาณ 9 เดือน มีสารกาเฟอีนประกอบอยู่ 1% และสายพันธุ์แยกย่อยของอาราบิก้าได้แก่ คาทูร่า ทิปปิก้า คาติมอร์ คาทุย อิคาทู เป็นต้น
2.โรบัสต้า หรือ คานีโฟรา (Robusta/Canaphora) เป็นพันธุ์กาแฟที่ปลูกง่าย ดูแลรักษาง่าย ทนทานต่อโรค ให้ผลผลิตต่อพื้นที่ค่อนข้างสูง ไม่นิยมนำมาเป็นกาแฟคั่วบด ส่วนใหญ่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมกาแฟผงสำเร็จรูป (Instant Coffee) และกาแฟพร้อมดื่ม
กาแฟโรบัสต้านิยมปลูกในแอฟริกาและบางส่วนของเอเซีย เนื่องจากเหมาะกับสภาพพื้นที่และอากาศ แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์หลักได้แก่ robusta และ kouliloa
3.ไลเบริก้า (Liberica) นิยมปลูกมากในแอฟริกา มีคุณสมบัติและคุณภาพระเดียวกับพันธุ์โรบัสต้า แต่ต้นทุนของกระบวนการเก็บเกี่ยวผลผลิตสูงกว่าจึงไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลาย
4.เอ็กเซลซ่า (Excelsa) ถิ่นกำเนิดอยู่ที่แอฟริกาฝั่งตะวันตก ทนทานต่อความแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี แต่ปัจจุบันไม่นิยมปลูก เนื่องจากรสชาติไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค ราคาจึงตกต่ำไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต
นอกจากนี้ยังมีกาแฟอีกประเภทที่ชื่อว่า เบลนด์ (Blend) คือกาแฟที่เป็นการผสมระหว่างสายพันธุ์ เพื่อให้ได้รสชาติ กลิ่น สี ที่ต่างกัน เช่น การผสมระหว่างอาราบิก้า 2 สายพันธุ์ขึ้นไป หรือผสมอาราบิก้ากับโรบัสต้า จะทำให้ได้รสชาติที่แตกต่างไปจากรสชาติดั้งเดิม
แหล่งข้อมูล : หนังสือรวยด้วยกาแฟของ บ.พีเพิล มีเดีย จก.เขียนโดยกองบรรณาธิการ
1.อาราบิก้า (Arabica) ได้ชื่อว่าเป็นพันธุ์กาแฟที่ดีที่สุด มีรสชาติกลมกล่อม หอม จึงเป็นที่นิยมบริโภคมากที่สุด สายพันธุ์อาราบิก้าเป็นกาแฟที่เติบโตได้ดีบนพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 700 เมตรขึ้นไป อายุการเก็บเกี่ยวตั้งแต่ติดผลถึงผลสุกประมาณ 9 เดือน มีสารกาเฟอีนประกอบอยู่ 1% และสายพันธุ์แยกย่อยของอาราบิก้าได้แก่ คาทูร่า ทิปปิก้า คาติมอร์ คาทุย อิคาทู เป็นต้น
2.โรบัสต้า หรือ คานีโฟรา (Robusta/Canaphora) เป็นพันธุ์กาแฟที่ปลูกง่าย ดูแลรักษาง่าย ทนทานต่อโรค ให้ผลผลิตต่อพื้นที่ค่อนข้างสูง ไม่นิยมนำมาเป็นกาแฟคั่วบด ส่วนใหญ่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมกาแฟผงสำเร็จรูป (Instant Coffee) และกาแฟพร้อมดื่ม
กาแฟโรบัสต้านิยมปลูกในแอฟริกาและบางส่วนของเอเซีย เนื่องจากเหมาะกับสภาพพื้นที่และอากาศ แบ่งออกเป็น 2 สายพันธุ์หลักได้แก่ robusta และ kouliloa
3.ไลเบริก้า (Liberica) นิยมปลูกมากในแอฟริกา มีคุณสมบัติและคุณภาพระเดียวกับพันธุ์โรบัสต้า แต่ต้นทุนของกระบวนการเก็บเกี่ยวผลผลิตสูงกว่าจึงไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลาย
4.เอ็กเซลซ่า (Excelsa) ถิ่นกำเนิดอยู่ที่แอฟริกาฝั่งตะวันตก ทนทานต่อความแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี แต่ปัจจุบันไม่นิยมปลูก เนื่องจากรสชาติไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค ราคาจึงตกต่ำไม่คุ้มกับต้นทุนการผลิต
นอกจากนี้ยังมีกาแฟอีกประเภทที่ชื่อว่า เบลนด์ (Blend) คือกาแฟที่เป็นการผสมระหว่างสายพันธุ์ เพื่อให้ได้รสชาติ กลิ่น สี ที่ต่างกัน เช่น การผสมระหว่างอาราบิก้า 2 สายพันธุ์ขึ้นไป หรือผสมอาราบิก้ากับโรบัสต้า จะทำให้ได้รสชาติที่แตกต่างไปจากรสชาติดั้งเดิม
แหล่งข้อมูล : หนังสือรวยด้วยกาแฟของ บ.พีเพิล มีเดีย จก.เขียนโดยกองบรรณาธิการ
ตำนานเกี่ยวกับกาแฟ :-
ตำนานที่น่าเชื่อถือและนิยมใช้อ้างอิงมากที่สุดคือเรื่องของนาย "คาลดี" (Kaldi) คนเลี้ยงแพะ (ในช่วง ปี ค.ศ. 600 - 800) แถบอัฟริกาตะวันออก หรือแถบเอธิโอเปียในปัจจุบันนี้
เรื่องมีอยู่ว่านายคาลดีผู้โดดเดี่ยว ค้นพบว่าค่ำคืนหนี่งเขาสังเกตเห็นแพะที่เขาเลี้ยงไว้เกิดมีอาการตื่นตัว และคึกคักเป็นพิเศษหลังจากที่พวกมันได้กินผลไม้สีแดงชนิดหนึ่งบริเวณป่าแถบนั้น เมื่อได้ลองกินเจ้าผลไม้นี้บ้าง เขาก็พบว่ามันทำให้เขารู้สึกมีพลังมากขึ้นและไม่รู้สึกง่วง คาลดีได้แนะนำให้นักบวชในโบสถ์ในละแวกนั้นได้รู้จักกับเจ้าพืชชนิดนี้ นักบวชเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าวจากคาลดีก็ลองกินผลไม้นี้ดูบ้าง จึงได้ลองบิเมล็ดออกใส่ลงปนในแป้งและเทน้ำเดือดลงทำเป็นเครื่องดื่ม(ซุป) ก็ได้รับผลอันน่าตื่นเต้นเช่นเดียวกัน จึงได้นำออกเผยแพร่ ในหมู่นักบวชด้วยกัน เพราะมันช่วยให้เหล่านักบวชตื่นตัว ในขณะที่อยู่ในชั่วโมงสวดอันยาวนาน
หลังจากนั้นการดื่มกาแฟก็เป็นที่แพร่หลายไปทั่วในหมู่นักบวชชาวมุสลิม ที่บอกต่อกันโบสถ์ต่อโบสถ์ จากอินเดียสู่อัฟริกาเหนือ ตลอดจนดินแดนเมดิเตอเรเนียนตะวันออก จนกล่าวได้ว่าศาสนาอิสลามเผยแผร่ไปที่ไหน ก็จะมีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่นั่น
เรื่องมีอยู่ว่านายคาลดีผู้โดดเดี่ยว ค้นพบว่าค่ำคืนหนี่งเขาสังเกตเห็นแพะที่เขาเลี้ยงไว้เกิดมีอาการตื่นตัว และคึกคักเป็นพิเศษหลังจากที่พวกมันได้กินผลไม้สีแดงชนิดหนึ่งบริเวณป่าแถบนั้น เมื่อได้ลองกินเจ้าผลไม้นี้บ้าง เขาก็พบว่ามันทำให้เขารู้สึกมีพลังมากขึ้นและไม่รู้สึกง่วง คาลดีได้แนะนำให้นักบวชในโบสถ์ในละแวกนั้นได้รู้จักกับเจ้าพืชชนิดนี้ นักบวชเมื่อได้ยินเรื่องดังกล่าวจากคาลดีก็ลองกินผลไม้นี้ดูบ้าง จึงได้ลองบิเมล็ดออกใส่ลงปนในแป้งและเทน้ำเดือดลงทำเป็นเครื่องดื่ม(ซุป) ก็ได้รับผลอันน่าตื่นเต้นเช่นเดียวกัน จึงได้นำออกเผยแพร่ ในหมู่นักบวชด้วยกัน เพราะมันช่วยให้เหล่านักบวชตื่นตัว ในขณะที่อยู่ในชั่วโมงสวดอันยาวนาน
หลังจากนั้นการดื่มกาแฟก็เป็นที่แพร่หลายไปทั่วในหมู่นักบวชชาวมุสลิม ที่บอกต่อกันโบสถ์ต่อโบสถ์ จากอินเดียสู่อัฟริกาเหนือ ตลอดจนดินแดนเมดิเตอเรเนียนตะวันออก จนกล่าวได้ว่าศาสนาอิสลามเผยแผร่ไปที่ไหน ก็จะมีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟที่นั่น
แหล่งข้อมูล : http://th.wikipedia.org และหนังสือรวยด้วยกาแฟของ บ.พีเพิล มีเดีย จก.เขียนโดยกองบรรณาธิการ
coffee ar-te' (คอฟฟี่ อาร์-เต้)
เลขที่ 311 อาคารแคปปิตอลพลาซ่า อยู่ระหว่างเจริญกรุง15 และ17
เบอร์ติดต่อ : 083-782-9615
e-mail : [email protected]
เลขที่ 311 อาคารแคปปิตอลพลาซ่า อยู่ระหว่างเจริญกรุง15 และ17
เบอร์ติดต่อ : 083-782-9615
e-mail : [email protected]